นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต ฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระอริยะบุคคล และผู้บรรพบุรุษบุพการีผู้มีพระคุณทั้งหลายในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ทั้งที่เจตนาและไม่เจตนาก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระอริยะบุคคล และบรรพบุรุษบุพการีผู้มีพระคุณทุก ๆ ท่านได้โปรดยกโทษ ให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่ พระนิพพานด้วยเทอญ ฯ สาธุ
พระโสดาบัน
หมายถึงการลดลงของ โลภะ โทสะ โมหะ (ความโลภ ความโกรธ ความหลงผิด)
พระสกิทาคา
หมายถึงการลดบางลงของกิเลสทั้ง ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะ จนเกือบไม่เหลือ
พระอนาคามี
หมายถึงการหมดไปของกิเลส และหมดความกำหนัด รักใคร่
พระอรหันต์
หมายถึงการตัดกิเลสทั้งปวงได้อย่างสิ้นเชิง สิ้นภพสิ้นชาติแล้ว ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ตามตำราท่านว่าหากเมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเป็นคฤหัสถ์จะครองตนอยู่ในความเป็นคฤหัสถ์ได้ไม่เกิน ๗ วัน จะต้องเข้านิพพาน หากแต่เป็นบรรพชิตก็จะอยู่ในนิพพานได้ตลอดจนกระทั่งดับขันธ์ ท่านเปรียบว่าเหมือนกับการที่เป็นดวงแก้วอันบริสุทธิ์แล้ว ก็ไม่สามารถจะทนปะปนอยู่กับของโสโครก หรือโคลนตมได้ เหมือนกับเทพชั้นสูงที่ท่านรู้สึกรังเกียจในกลิ่นกิเลสของมนุษย์ฉันใดฉันนั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สรุปไว้อย่างแยบคายว่า
ปุถุชนย่อมไม่รู้จิตของพระโสดาบัน
พระโสดาบันย่อมไม่รู้จิตของพระสกทาคามี
พระสกทาคามีย่อมไม่รู้จิตของพระอนาคามี
พระอนาคามีย่อมไม่รู้จิตของพระอรหันต์
บุคคลชั้นต่ำย่อมไม่รู้จิตของบุคคลชั้นสูงๆ (หมายถึงคุณธรรม)
บุคคลชั้นสูงย่อมรู้จิตของบุคคลชั้นต่ำ
0 Comments:
Post a Comment
<< Home